จาก 3 ปัจจัยดังกล่าว คือมีเงินล้น ดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินถูก จึงเป็นโอกาสทองให้นักลงทุนสถาบันกู้เงินดอลลาร์ราคาถูก นำไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเน้นเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตสูง เช่นประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ประเทศจีน รัสเซียและอินเดีย ทำให้พวกเขาได้กำไรถึง 2 เด้งในเวลาเดียวกัน คือ ดอกผลจากการลงทุน และค่าเงินท้องถิ่นที่เข้าไปลงทุนปรับสูงขึ้นจากการที่เศรษฐกิจเติบโต
การกู้ยืมเงินดอลลาร์ราคาถูกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ที่เราเรียกว่า Dollar Carry Trade นั้น นับว่ามีอิทธิพลต่อราคาหุ้นและทองคำอย่างมาก เพราะสถาบันการเงินระดับโลกมีความสามารถในการกู้ยืมเงินได้ไม่จำกัด เม็ดเงินเหล่านั้นจึงสามารถผลักดันราคาหุ้นหรือทองคำได้อย่างง่ายดาย
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า กว่าที่ประเทศหนึ่งๆที่ประสบปัญหาฟองสบู่แตกจะฟื้นตัวได้ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-10 ปี ดังนั้นเขาจึงมีเวลาลงทุนยาวนานพอสมควร รอจนเมื่อเศรษฐกิจของประเทศต้นทางซึ่งในที่นี้หมายถึงสหรัฐ เริ่มฟื้นตัว จึงค่อยรีบขายเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แล้วกลับไปซื้อเงินดอลลาร์คืน ก่อนที่เงินดอลลาร์จะแข็งค่าจนอาจทำให้ขาดทุนกำไรที่ได้มาก่อนหน้านั้น
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า การที่ประธานเฟดประกาศจะรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีก 2 ปี เท่ากับการยืนยันว่าค่าเงินดอลลาร์คงไม่ไปไหนใน 2 ปีนี้ เพราะฉนั้นขอให้ท่านทั้งหลายลงทุนได้อย่างสบายใจ

ค่าเงินดอลลาร์เตรียมพุ่งทะลุแนวต้าน
กระแสลมเริ่มเปลี่ยนทิศ
ดูเหมือนสถานการณ์การลงทุนจะเป็นเช่นที่เฟดต้องการมาตามลำดับ แต่แล้วเศรษฐกิจของสหรัฐที่ค่อยๆฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้คนว่างงานลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์ เมื่อวัดจาก Dollar Index ซึ่งเกิดจากการนำเงินดอลลาร์มาเทียบเคียงกับเงินสกุลหลักอีก 6 สกุล ได้ไต่ระดับมาจนชนแนวต้านทางจิตวิทยา หากสามารถแข็งค่าทะลุแนวต้านดังกล่าวได้ จะทำให้เกิดความเชื่อว่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวแล้ว จะมีการไล่ซื้อดอลลาร์คืน เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาที่ค่าเงินดอลลาร์ว่าจะเดินหน้าแข็งค่าต่อเนื่องหรือไม่ นักลงทุนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่อยากเสี่ยง เริ่มไหวตัว ชิงทำกำไรก่อน โดยการเทขายทองคำล็อตใหญ่ออกมา ทำให้ราคาทองคำร่วงทะลุเส้นแนวรับระยะ 4 ปี ส่งสัญญานเปลี่ยนทิศสำหรับทองคำที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ราคาทองคำร่วงทะลุแนวรับระยะยาว
นักลงทุนบนทาง 2 แพร่ง
ถึงวันนี้ ได้เกิดมีการวิเคราะห์ทิศทางตลาดเป็น 2 แนวทางที่ตรงกันข้ามกัน แต่น่าสนใจและเป็นไปได้ทั้งคู่ ลองฟังความเห็นของนักวิเคราะห์เหล่านี้ดู
แนวทางที่ 1 กลุ่มนี้เชื่อว่าตลาดหุ้นและทองคำกำลังส่งสัญญานเปลี่ยนทิศทาง ตลาดหุ้นกำลังจะดิ่งแรงจากการที่เงินลงทุนไหลกลับ ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นที่ขึ้นมาอย่างสุดโต่งก่อนหน้านี้ ก็จะร่วงลงจนเราคาดไม่ถึง จะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Dollar Carry Trade Unwind หรือการกลับทิศของเงินดอลลาร์ที่กู้มาลงทุน นักลงทุนจะไถ่ถอนเงินลงทุนในที่ต่างๆ ไม่ว่าตลาดเกิดใหม่ ทองคำ หรือพันธบัตรต่างชาติ กลับไปซื้อดอลลาร์คืน เพื่อจ่ายคืนเงินกู้ ก่อนที่ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับปัจจัยหรือหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนี้คือ
1. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ดูเหมือนพร้อมจะทะลุแนวต้านและวิ่งแบบไม่หยุด (เงินดอลลาร์แข็งค่า มักหมายถึงราคาหุ้นลดลง)
2. ดัชนีตลาดหุ้น S&P500 เกิดสัญญานยอดสองยอด (double top) เป็นสัญญานทางเทคนิคว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่พร้อมจะปรับลง
3. ดัชนีตลาดหุ้น S&P500 ลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันแล้ว
4. สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมใน 2 ปีที่ผ่านมา มักเป็นจุดสูงสุดของตลาดหุ้น
5. ราคาทองคำได้ร่วงทะลุแนวรับระยะ 4 ปี แสดงสัญญานขายชัดเจน
แนวทางที่ 2 กลุ่มนี้เชื่อว่ารัฐบาลของนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐและธนาคารกลางสหรัฐ จะไม่ปล่อยให้เงินดอลลาร์แข็งค่าง่ายๆ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เขาคงจะเข็นมาตรการ QE ออกมาอีกเป็นครั้งที่ 3 อัดฉีดเงินเข้าระบบอีก เพื่อให้ดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินดอลลาร์ลดลง ประคองให้ตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูงต่อไป
แนวคิดที่สนับสนุนความเชื่อนี้ คือ
1. จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ แน่อนว่ารัฐบาลนายโอบามา ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะพยุงให้ดัชนีหุ้นยังเป็นขาขึ้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและเรียกคะแนนเสียง ดังนั้นจึงเชื่อว่าเงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่าก่อนเดือนพฤศจิกายน
2. ประเทศทั่วโลกต่างพยายามทำให้เงินสกุลของตนอ่อนค่า สหรัฐก็คงต้องทำเช่นั้น
3. ตอนที่บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจาก AAA เป็น AA+ ในเดือนสิงหาคม พศ.2554 ธนาคารกลางสหรัฐรีบประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำสุดๆเป็นเวลา 2 ปี เพื่อดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมา แสดงว่ารัฐบาลสหรัฐพร้อมแทรกแซงตลาดถ้าจำเป็น และมีกระสุนพร้อมใช้ตลอดเวลา
4. นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด เคยแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่าจะใช้มาตรการ QE3 หากพบว่ามีความเป็นไปได้ที่ภาวะความอ่อนแอของเศรษฐกิจจะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาด นั่นก็เป็นนัยแล้วว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม จะมีการนำมาตรการต่างๆมาใช้แน่นอน