|
เห็นราคาทองคำตกพรวดพราด ก็หวั่นใจว่าพวกเราจะเข้าไปเก็งกำไร เพราะมีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า ราคาทองปีหน้าจะดีดกลับไปที่ 1,900 เหรียญต่อออนซ์ แต่ช้าก่อน! ขอให้ฟัง second opinion จากบทความนี้ก่อนจะได้ไหม |
พวกเราคงทราบดีว่า ราคาทองคำได้พุ่งทะยานในช่วง 4-5 ปีนี้ เพราะนักลงทุนรายใหญ่เขาหนีมาพักร้อน เดิมที นักลงทุนเหล่านี้มักจะลงทุนด้วยเงินดอลลาร์ ในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐราวปี 2550 นักลงทุนผู้เจนจัดย่อมสามารถคาดการณ์ได้ว่าหุ้นสหรัฐและเงินดอลลาร์จะร่วงลงหนักตามภาวะเศรษฐกิจ (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในไทยตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง) พวกเขาจึงหาที่พักเงินชั่วคราว และทองคำเป็นแหล่งหลบภัยที่ดีที่สุด เขาจึงเรียกทองคำว่า safe haven
เราทุกคนน่าจะรู้ดีว่า ทองคำเป็นหลักทรัพย์ที่มีจุดอ่อนหลายข้อ ไม่เคยจ่ายเงินปันผล ไม่มีผลประกอบการให้ดู เป็นภาระในการจัดเก็บ ทุกคนลงทุนด้วยเหตุผลเดียว คือ เก็งว่าคนอื่นจะเข้ามารุมซื้อและราคามันจะวิ่งขึ้นไปตามดีมานด์ที่เข้ามา แต่ในเวลาเดียวกัน ต้องพะวงอยู่ตลอดเวลา หากราคามันเกิดกลับทิศ จะต้องรีบขายทิ้งหนีตาย เหมือนที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องทองคำ ขนาดที่จะแนะนำให้ท่านขายทิ้งหรือซื้อเพิ่ม แต่สำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าไปเก็งกำไรด้วยการซื้อเพิ่ม ขอให้อ่านเหตุผลต่อไปนี้ ก่อนจะตัดสินใจ
เหตุผลที่เชื่อว่าทองคำได้หมดมนต์ขลังลงแล้ว
1. เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญานฟื้นตัว
เศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐทำให้อัตราการว่างงานทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 9.9%ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ข่าวล่าสุดแจ้งว่าอัตราว่างงานได้ลดลงมาเหลือ 8.6% ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ขณะที่ยอดขายบ้านได้กระเตื้องขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มโยกเงินออกจากตลาดทองคำ โดยการขายทองแล้วกลับมาซื้อดอลลาร์ราคาถูกคืน
2. ราคาทองคำหลุดเส้นแนวรับระยะกลาง
ด้วยความที่ทองคำไม่มีผลประกอบการให้ดู การเก็งราคาจึงต้องใช้อารมณ์ (sentiment)ตลาด เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ และกราฟราคาทองคำได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในแนวทางนี้ ตามทฤษฎีทางเทคนิค เราจะถือว่าเส้นแนวโน้ม หากยิ่งยาวเท่าไร ความแข็งแกร่งจะมากขึ้นไปด้วย ทำให้ยากที่จะฝ่าทะลุไปได้ หากดัชนีหลุดแนวโน้มนี้ไปได้ ราคาจะขึ้นหรือลงแรงเป็นพิเศษ ล่าสุดราคาทองได้หลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะ 2 ปีไปแล้ว เหลือเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะ 5 ปี อีกเส้น หากหลุดแนวรับนี้ที่ประมาณ 1500 เหรียญ ก็เป็นแนวโน้มชัดเจนว่า ทองคำหมดอนาคต แต่ถ้าไม่หลุด แล้วยังทะยานขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ ก้ต้องเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังอยู่ที่ยอดดอย จะร่วงหล่นลงมาเมื่อไรก็ได้
3. สวนทางวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป
เป็นที่คาดการณ์กันว่า วิกฤตในยุโรปจะปะทุในราวต้นปี 2555 แต่ทั้งๆที่ทุกคนคาดการณ์เช่นนี้ ราคาทองคำแทนที่จะขยับขึ้น กลับดิ่งลงสวนความรู้สึก แสดงว่าทองคำอ่อนแอกว่าที่ควรเป็นมาก ผมเชื่อว่า ตอนนี้คือ ช่วงข่าวร้ายที่สุดของยุโรปแล้ว ถ้าไม่ขายทองตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปขายตอนไหน ใครขายก่อนก็ยังได้ราคาดี ถ้าถือมา 2-3 ปีแล้ว
4. หลายประเทศเลิกใช้ทองคำเป็นเงินสำรอง
สมัยก่อน ธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะพิมพ์เงินต้องมีทองคำเป็นเงินสำรองในการพิมพ์ธนบัตร สหรัฐน่าจะเป็นชาติแรกที่ประกาศว่า เขาไม่ใช้ทองคำเป็นเงินสำรอง แต่ใช้ความน่าเชื่อถือ ตัวเลขเศรษฐกิจเป็นเครื่องรับรองค่าเงิน ตอนนี้เริ่มมีบางประเทศใช้วิธีนี้บ้างแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้ความต้องการทองคำปริมาณมากๆลดลง
5. ราคาทองขึ้นมามากแล้ว
ถ้าจำไม่ผิด ราคาทองขึ้นมาจากประมาณ 450 เหรียญต่อออนซ์ เมื่อ 5 ปีก่อน แล้วขึ้นไปสูงสุดที่ 1889 เหรียญต่อออนซ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มันได้พุ่งขึ้นมากว่า 300% แล้ว หากวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปบรรเทาลง ท่านคิดว่ามันควรจะกลับไปที่ราคาเท่าไร ( ในปี 1980 ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 800 กว่าเหรียญต่อออนซ์ ก่อนที่จะร่วงลงมาเหลือ 300 กว่าเหรียญใน 2 ปีต่อมา ) ปัญหาคือ ตอนนี้ทุกคนต่างไม่ต้องการขายเป็นคนสุดท้าย รายการแข่งกันขายจึงปรากฎให้เห็นในช่วงนี้
การลงทุนมีความเสี่ยง ผมไม่อยากขัดลาภใคร แต่ก็ไม่อยากเห็นคนไทยเป็นเหยื่อของใคร