ReadyPlanet.com
dot dot
dot
วางแผนการเงิน
dot
bulletทำไมต้องวางแผนการเงิน
dot
วางแผนเกษียณอายุ
dot
bulletวางแผนเกษียณอย่างง่าย
dot
วางแผนภาษีอากร
dot
bulletทำไมต้องวางแผนภาษี
bulletเทคนิควางแผนภาษีส่วนบุคคล
bulletเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี
bulletค่าใช้จ่ายของแต่ละอาชีพ
bulletสิทธิหักลดหย่อนภาษี
bulletวิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา
dot
วางแผนการลงทุน
dot
bulletข้อคิดก่อนลงทุน
bulletการจัดพอร์ตลงทุน
dot
วางแผนการประกัน
dot
bulletหลักพื้นฐานการประกันภัย
bulletประกันชีวิตเท่าไรถึงพอ
dot
Newsletter

dot




Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์

โลกาภิวัตน์ คือกระบวนการที่ประชากรของโลก ถูกหลอมรวมเป็นสังคมเดี่ยว(วิกิพีเดีย)  มีการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี อย่างรวดเร็วกว้างขวาง  จากพัฒนาการของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงข้อมูลของทุกประเทศไว้ด้วยกัน  แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ 

การที่สินค้า บริการ แรงงาน เงินทุนและเทคโนโลยี สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระและรวดเร็ว นำมาซึ่งความสะดวกสบายมาให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ  ผู้ที่รู้เท่าทันย่อมสามารถฉกฉวยจากประโยชน์จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น  แตผู้ที่ล้าหลังอาจตกเป็นเหยื่อ  ดั่งเหตุการณ์ที่หุ้นไทยถูกถล่มขายเมื่อเร็วๆนี้ จากการปิดสถานะ Dollar Carry Trade ของนักลงทุนต่างชาติ

Dollar Carry Trade  หมายถึง การกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำ  แล้วนำไปแลกเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

การที่คนต่างชาติจะกู้จากธนาคารของประเทศเขา  แล้วนำเงินดอลลาร์ที่ได้  มาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรของไทย  คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปรกติแต่อย่างไร  แต่ที่ต้องถือว่าพิศดารคือการที่เขาสามารถใช้ช่องโหว่ของระบบโลกาภิวัตน์มาหาประโยชน์จำนวนมหาศาลให้กับตนเอง  และทำได้อย่างง่ายดายนี่สิ  คือสิ่งที่เรากำลังสนใจ  ซึ่งขออรรถาธิบายดังนี้

พวกเราคงทราบกันดีว่า  เมื่อประเทศใดเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ  แนวทางการแก้ปัญหาของธนาคารกลาง คือการลดดอกเบี้ยนโยบาย  เพื่อกดให้ดอกเบี้ยในประเทศต่ำลง  เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน  ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ  อาจต้องใช้เวลา 5-20 ปี แล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและฝีมือของรัฐบาลประเทศนั้นๆ

ช่องโหว่ที่เกิดขึ้นคือ  ถ้านักลงทุนรายใหญ่รู้ว่า ผลตอบแทนการลงทุนของประเทศอื่นๆ อย่างเช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือไทย ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า   เช่นหากลงทุนในพันธบัตรอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 3-5% ลงทุนในหุ้นอาจให้ผลตอบแทน 20-50%  แถมยังได้กำไรจากค่าเงินของประเทศที่เข้าไปลงทุนติดไม้ติดมือมาด้วย  แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาจะฉวยโอกาสกู้เงินจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำ นำไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้อย่างไร  นี่คือสิ่งที่นักลงทุนสถาบันการเงินใหญ่ๆในโลกเขาทำกัน

และแล้ว โอกาสทองก็มาถึง  เมื่อประเทศสหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่  และธนาคารกลางสหรัฐได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำสุดที่ 0-0.25% และเราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าการที่ประเทศยักษ์ใหญ่เทอะทะเกิดสะดุดล้มลง  กว่าที่เขาจะลุกฟื้นขึ้นมาได้นั้นคงต้องใช้เวลานานนับสิบปี  นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเครดิตดี  จึงฉวยโอกาสกู้ยืมเงินดอลลาร์จากธนาคารในสหรัฐนำไปแลกเป็นเงินสกุลเอเชีย  และนำไปลงทุนต่อในพันธบัตร, หุ้น หรือแม้แต่ฝากกินดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังมีเศรษฐกิจเฟื่องฟู

การที่เงินดอลลาร์หลายหมื่นล้านเหรียญถูกทยอยเทขายออกเพื่อแลกไปเป็นเงินสกุลอื่น  ตั้งแต่เงินยูโร เงินหยวน เงินวอน เงินบาท และอื่นๆ  ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ค่อยๆอ่อนค่าลง  ผสมโรงด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่า ยอดขาดดุลการค้า อัตราการว่างงาน หรือยอดขายบ้านใหม่  ที่ช่วยซ้ำเติมค่าเงินดอลลาร์ให้ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ

ขณะที่อีกฟากฝั่งปลายทางที่เม็ดเงินถูกนำไปลงทุน  เขาจะคัดเลือกประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดี  ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทย ที่มีหนี้ภาคเอกชนน้อย  หนี้ภาครัฐต่ำ อัตราการว่างงานน้อยมากเพียง 1% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกำลังเติบโต  ผลจึงออกมาตรงกันข้าม  ค่าเงินบาทค่อยๆแข็งขึ้น  และเมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นพร้อมๆกันหลายหมื่นล้านบาท  มันก็ช่วยผลักดันให้ดัชนีหุ้นพุ่งทะยานไม่ยาก

คำถามคือ  นักลงทุนเหล่านี้จะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อทำกำไรเมื่อไร   กลยุทธของเขาคือ ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ  คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี การขายออกก่อนเวลาอันควร  อาจได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  แต่ในขณะเดียวกันต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา  หากไหวตัวไม่ทัน  อาจตกขบวนรถไฟ  ขายไม่ได้ราคา 

แต่แล้ว  เวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติการก็มาเร็วกว่าที่คาด  สมาชิกในกลุ่มประเทศยุโรปเกิดมีปัญหาเศรษฐกิจปะทุขึ้นมา  ถึงขั้นว่าหนี้สาธารณะของกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้  สื่อต่างประเทศอย่าง บลูมเบิร์ก บอกว่าพันธบัตรของกรีซมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ถึง 98% ใน 5 ปี ข้างหน้า ทั้งที่ล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีของกรีซ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 76%ต่อปี  แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าไปลงทุนเพิ่มได้  เพราะมีข่าวว่า กรีซอาจต้องขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มยูโรโซนเพื่อลดค่าเงินของตนให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น  พร้อมกับอาจต้องเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศให้ลดหนี้ลงมาเหลือ 50% ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเกรงว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่คุ้มกับเงินต้นและค่าเงินที่เหลือ

เมื่อมีข่าวออกมาว่า  แผนที่จะช่วยอุ้มประเทศกรีซดูท่าจะพังพาบ  เพราะยังมีประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจอีกหลายประเทศเช่น โปตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์และสเปนรอขอความช่วยเหลืออยู่  ทำให้ค่าเงินยูโรเริ่มเซซวน  นักลงทุนรายใหญ่เริ่มไหวตัวทยอยขายเงินยูโร  กลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกคืน  ทำกำไรเอาไว้ก่อน

การขายเงินสกุลปลายทางแล้วกลับมาซื้อเงินดอลลาร์คืน  เพื่อไปไถ่ถอนสัญญาเงินกู้ที่เคยยืมมาตอนทำธุรกรรม Dollar Carry Trade ถือเป็นการปิด(ย้อนคืน)สถานะสัญญาเงินกู้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dollar Carry Trade Unwinding

ลองนึกภาพดูว่า  เงินยูโรจำนวนมหาศาลถูกเทขายเพื่อนำมาแลกซื้อเงินดอลลาร์คืน  ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าทันที  มันเป็นเหมือนสัญญานนกหวีดในเกมเก้าอี้ดนตรี  เมื่อทุกคนที่ตื่นตัวอยู่แล้วได้ยินสัญญานนี้  ประกอบกับทุกคนได้กำไรกันพอสมควรแล้ว  ไม่ว่าราคาหุ้น  ราคาพันธบัตร รวมถึงค่าเงินสกุลปลายทาง  สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ แย่งชิงกันขายทรัพย์สินปลายทางเพื่อนำไปแลกเงินดอลลาร์คืนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

เมื่อทุกคนทำพร้อมกัน  มันก็เปรียบดั่งคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าใส่ตลาดหุ้น  ทำให้ตลาดหุ้นถล่มทลาย  ราคาพันธบัตรทรุดฮวบและค่าเงินสกุลท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ใครไหวตัวช้า  ก็ขายไม่ได้ราคา  แถมขาดทุนกำไรในค่าเงิน

ทองคำเป็นทรัพย์สินหนึ่งที่นักลงทุนกลุ่มนี้นำเงินจาก Dollar Carry Trade ไปลงทุนด้วย  ราคาทองคำก็ต้องพบชะตากรรมเดียวกัน  ยิ่งทองคำไม่มีเงินปันผลให้ชื่นใจ ไม่มีผลประกอบการให้ดู  ราคาทองคำขึ้นด้วยเหตุผลเดียวคือเป็นแหล่งพักเงิน ( Safe Haven ) ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังคงตกต่ำ  เมื่อเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า  คนจึงขายทองคำทำกำไร  และกลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกกลับคืน

แล้วทำไมตลาดหุ้นจึงตกแรงมากๆ  เฉพาะวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 วันเดียว ดัชนีลดไปถึง 90 จุด หรือ 9.4% ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาติดลบ 54 จุด หรือ 5.6% รุนแรงกว่าภูมิภาคเดียวกันที่ลดลงประมาณ 2-3%  คำตอบคือ  จังหวะของคนไทยไม่ดี  เราเพิ่งได้รัฐบาลใหม่ในช่วงนี้พอดี  เป็นธรรมดาที่รัฐบาลใหม่จะประโคมโหมข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ  ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล ลดราคาน้ำมัน ลดภาษีบ้าน ภาษีรถยนต์ รวมถึงการที่มีข่าวระบบ 3G มากระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มต่างๆ  ทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักและให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

ประกอบกับก่อนหน้านั้นไม่นาน  นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าตนมีแนวความคิดที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพื่อใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ  ข่าวนี้กระตุ้นให้เงินบาทแข็งค่าแซงหน้าสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาค  พร้อมกับได้สร้างความฮึกเหิมให้นักลงทุนไทย  เพราะทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น  เรามักเห็นเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเสมอ

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา  ทั้งราคาหุ้นและค่าเงินบาทได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด  เมื่อมีสัญญานการถอยทัพมาจากต่างแดน  นักลงทุนต่างประเทศจึงพร้อมใจกันเทขายหนักๆ เพราะมีกำไรทุกราคา

จากต้นปี พศ.2552 ตอนที่เริ่มมีการทยอยทำ Dollar Carry Trade ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ พอถึงต้นเดือนกัยยายน พศ.2554 เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ แข็งขึ้นมาราว 15%  ดัชนีหุ้นไทย ณ ต้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 450 จุด เพิ่มมาเป็น 1,050 จุด ณ ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา  เพิ่มขึ้นถึง 130% ไม่ขายตอนนี้  ไม่รู้จะไปขายตอนไหน

ซ้ำร้าย  มีนักลงทุนไทยและเทศหลายรายที่เข้าใจปรากฎการณ์นี้ดี  ได้ร่วมผสมโรงกระหน่ำขายโดยวิธียืมหุ้นคนอื่นมาขายก่อน หรือที่เราเรียกกันว่า Short sell แล้วค่อยซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า   เวลาเดียวกันก็มีข่าวด้วยว่ามีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศบางรายได้ฉวยโอกาสใช้วิธีซื้อออปชั่นดัชนีล่วงหน้าที่ดัชนีต่ำมากๆ แล้วเทขายหุ้นตัวใหญ่หลายๆตัว เช่น หุ้นการบินไทย หุ้นปูนซิเมนต์ หุ้นธนาคารต่างๆ เพื่อทำให้ดัชนีลงไปใกล้ตำแหน่งเป้าหมาย แล้วจึงขายออปชั่นปิดสถานะที่ซื้อไว้ เพื่อทำกำไรได้อีกต่อหนึ่ง

นอกจากนี้  ยังมีปัจจัยเพิ่มความซับซ้อนขึ้นมาอีก คือ มีผู้นำเข้าสินค้าที่ต้องการใช้เงินดอลลาร์จ่ายค่าสินค้าให้กับคู่ค้าในต่างประเทศ  พอเห็นเงินดอลลาร์เปลี่ยนทิศ ได้รีบเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์เก็บไว้ก่อนที่ราคาจะสูงไปกว่านี้  ส่วนผู้ส่งออกก็ชลอการขายเงินดอลลาร์ที่ถืออยู่ในมือออกไป  ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับบาทยิ่งขยับสูงขึ้นไปอีก  เป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติยิ่งต้องเร่งลงมือ  หายนะจึงเกิดขึ้นอย่างที่เราเห็น  มูลค่าตลาดหุ้นไทยหายวับไปถึง 1 ล้านล้านบาทในชั่วเวลาเพียง 4 วันทำการเท่านั้น

เราได้เห็นแล้วว่า  เมื่อโลกเราเชื่อมโยงกันมากขึ้น  มีการพัฒนาการด้านต่างๆเพิ่มขึ้น  ความซับซ้อนก็ยิ่งมีมากทวีคูณ  คนที่รู้เท่าทัน  จะใช้มันเป็นเครื่องมือ  คนที่ไม่รู้ จะตกเป็นเหยื่อ

อย่าลืมว่า  เราจะมีการเปิดเสรีการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนในอีก 4 ปีข้างหน้า  จะมีเรื่องแปลกๆใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมาย  ทุกอย่างจะเชื่อมถึงกัน  และเกิดขึ้นเร็วมาก    ท่านละครับ  เตรียมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นแล้วหรือยัง




บทความน่าสน

Domain names for sale article
ขุมทรัพย์ในกรมธรรม์
ทองคำ ฤาจะหมดมนต์ขลัง
กรมธรรม์บำนาญ เรื่องใกล้ตัวที่คุณควรรู้ article
ฝรั่งทิ้งหุ้นกว่า 5 หมื่นล้าน ทำไมหุ้นไทยถึงไม่ลง(มาก) article
ทำไม ทองยังคงทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ article
ทำไม หุ้นจึงพุ่ง สวนทางม็อบ article
เฟดขึ้นดอกเบี้ย มั่นใจพ้นจุดต่ำสุด article
5 ศตวรรษของฟองสบู่โลก
บริจาคอย่างไร หักภาษีได้ 2 เท่า
ทำไม ราคาทองคำจึงพุ่งไม่หยุด
MACD สาเหตุที่แท้จริงในตลาดหุ้น
เงินรองรัง เท่าไรถึงพอ
นักลงทุนทิ้งเงินดอลลาร์ มุ่งลงทุนสินทรัพย์อื่น
เงินที่หล่นหาย
สมาคมตัวแทนเตรียมจัดงานสัมมนาระดับโลก
5 คำแนะนำในการซื้อบ้านที่ถูกยึด
พันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ พุ่งแตะ 3.71%
วิกฤตการเงินระลอกสอง article
AIG ถึงคราวต้องล้ม ?
เงินสิบบาท
ช่วยด้วย ฉันซื้อประกันไว้กับ AIG
ช่วยใช้เงินหน่อย
เตือนรัฐรับวิกฤติผู้สูงอายุ
ข่าวดีและข่าวร้ายจากเฟด
CDS ดินระเบิดวิกฤติปี 2008 article
สัญญาเพิ่มเติมในประกันชีวิต หักภาษีไม่ได้แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฟองสบู่อเมริกาแตก
มาวางแผนเกษียณอายุกันเถอะ article
วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน article
หลักทรัพย์ที่ควรร้จัก
สปส.ปรับเพิ่มเงินบำนาญชราภาพ article
AIG มาถึงวันนี้ได้อย่างไร



Copyright © 2010 All Rights Reserved.