นายวอร์เร็น บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกระหาย แต่จงกระหายเมื่อคนอื่นตื่นกลัว
เป็นที่ทราบกันดีว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีปัจจัยเรื่องจิตวิทยาฝูงชนเข้ามาเกี่ยวข้อง หากใครมีใจไม่หนักแน่นพอ ไม่สามารถแยกแยะระหว่างปัญหาที่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน กับปัญหาที่เป็นเพียงความวิตกกังวล ก็มักตกเป็นเหยื่อของเกมการเงินในตลาดหุ้นได้ |
|
ในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยพุ่งทะยานสวนทางความร้อนแรงทางการเมือง สาเหตุหลักมาจากนักลงทุนต่างประเทศโยกเงินเข้ามาซื้อหุ้นและเก็งกำไรค่าเงิน ถามว่า ทั้งที่สถานการณ์การเมืองของไทยยังคุกรุ่นอยู่อย่างนี้ แล้วทำไม ฝรั่งจึงทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน
ในฐานะที่ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมานานพอสมควร อีกทั้งยังต้องให้คำแนะนำเรื่องการวางแผนการเงินกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ขอแลกเปลี่ยนความเห็นในปริศนาเรื่องนี้ ดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว
นับจากวันที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของปี 2552 ว่าเติบโตถึง 5.8% นั้น เงินลงทุนของต่างชาติก็ไหลบ่าเข้ามาซื้อหุ้นทุกวันๆละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท สำนักข่าวต่างประเทศต่างวิเคราะห์ว่า ตัวเลข GDP ที่เติบโตระดับนี้ ต้องถือว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว
นอกจากนี้ การที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ไทยออกมาประกาศว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 42% และเติบโตกระจายในทุกกลุ่มธุรกิจ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันว่า ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นแล้ว
ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นไทยเคยถูกมองข้ามจากนักลงทุนต่างประเทศ เพราะกังวลในเรื่องการเมือง แต่เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจถูกประกาศออกมาตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่มี หุ้นไทยที่เคยมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น จึงกลับมาร้อนแรง ( outperform ) อีกครั้ง
2. เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 65%
พวกเราคงทราบดีว่ามูลค่า GDP ของไทยมาจากการส่งออกถึง 65% ดังนั้นตราบใดที่การชุมนุมต่างๆไม่กระทบต่อการผลิตของโรงงานที่ผลิตเพื่อการส่งออก ตราบนั้นเศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ กลายเป็นว่า ทุกวันนี้ GDP ของเราขึ้นกับการผลิตเพื่อส่งออกมากกว่าการบริโภคภายในประเทศ
ผมรู้สึกว่า ในระยะหลังนักลงทุนต่างประเทศคงได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ปีที่แล้ว ทั้งที่เรามีความวุ่นวายทางการเมืองถึงขึ้นขีดสุด เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี ยังฟื้นขึ้นมาบวกได้ 5.8% สิ่งที่เกิดคงคล้ายกับประเทศเกาหลี เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ที่เราได้ข่าวว่าคนงานของเขาประท้วงปิดถนนทุกสัปดาห์ แต่เศรษฐกิจของเขายังโต ในระดับที่คนทั่วโลกต้องหันไปมอง
ดังนั้น เมื่อฝรั่งเห็นว่า การชุมนุมรอบนี้ คงไม่มีความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด เป็นการชุมนุมในกรอบประชาธิปไตย เขาจึงกล้าทุ่มเงินซื้อแบบไม่กลัวไฟ
3. ดอลลาร์อ่อน จูงใจให้เก็งกำไรบาท
ก่อนหน้านี้สัก 2 เดือน มีข่าวหนี้สาธารณะของประเทศในแถบยุโรปพุ่งสูง ทำให้เงินยูโรอ่อนตัว ดอลลาร์แข็งค่า แต่เมื่อมีข่าวว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ( IMF )และสหภาพยุโรปพร้อมให้การช่วยเหลือประเทศกรีกและอีก 2-3 ประเทศที่มีปัญหา เงินยูโรจึงกลับมาข็งค่ากดดันเงินดอลลาร์ให้อ่อนลง ด้วยนักลงทุนเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐคงไม่สามารถจะฟื้นตัวสู่ภาวะปรกติได้ในระยะเวลาอันสั้น
นักลงทุนสถาบันระดับโลกจึงตัดสินใจทิ้งเงินดอลลาร์ชั่วคราว เพื่อมาเก็งกำไรค่าเงินเอเชีย หวังได้กำไรสองต่อ ทั้งจากราคาสินทรัพย์และกำไรค่าเงิน ยิ่งมีข่าวธนาคารกลางสหรัฐประกาศคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของตนต่อไป ข่าวนี้ยิ่งไปกระตุ้นให้นักลงทุนสถาบันบางส่วน เพิ่มการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade กู้เงินดอลลาร์ด้วยดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำมาแลกเป็นเงินสัญชาติอื่นเพื่อเก็งกำไร
4. สัญญานทางเทคนิคส่งสัญญานซื้อ
นักลงทุนจำนวนมากรวมถึงนักลงทุนสถาบันบางส่วนใช้สัญญานทางเทคนิคเป็นเครื่องมือในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย เมื่อมีแรงซื้อจำนวนมากเข้ามา สัญญานทางเทคนิคจะพุ่งขึ้นส่งสัญญานซื้อ ไม่ว่า MACD หรือ RSI นักลงทุนเหล่านี้จึงใช้เป็นเครื่องมือตัดสินใจ ทุ่มเงินเข้าผสมโรงซื้อทันที
5. กองทุนรวมรอจังหวะซื้อมานานแล้ว
ตามปรกติช่วงปลายปี จะมีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ ไม่ว่า RMF, LTF หรือซื้อประกันชีวิต เพื่อหวังผลเรื่องลดหย่อนภาษี แต่ฝ่ายลงทุนของกองทุนเหล่านี้ยังไม่แน่ใจในภาวะตลาด โดยเฉพาะช่วงที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ จึงขอเก็บเงินสดกันไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อรอซื้อหุ้นเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว
แต่เมื่อเห็นฝรั่งชิงตัดหน้าซื้อหุ้น ด้วยความกลัวว่าจะตกรถ ฝ่ายลงทุนเหล่านี้จึงต้องไล่ซื้อหุ้นบ้างโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มบลูชิป
|
จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกระหาย แต่จงกระหายเมื่อคนอื่นตื่นกลัว นายวอร์เร็น บัฟเฟตต์ |
จากปัจจัยหลายๆข้อข้างต้น ทำให้มีแรงซื้อที่หนุนเนื่องเข้ามา ผลักดันให้ดัชนีหุ้นขึ้นอย่างหนักแน่น เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของกูรูนักลงทุนชื่อก้องโลก นายวอร์เร็น บัฟเฟตต์ ที่กล่าวว่า จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกระหาย แต่จงกระหายเมื่อคนอื่นตื่นกลัว
หวังว่ามันคงจะอธิบายวิธีคิดของนักลงทุนฝรั่งที่เข้ามากว้านเก็บหุ้นรอบนี้ได้นะครับ สวัสดี