วันก่อนมีคนปล่อยข่าวลวงในตลาดหุ้น ทำให้หุ้นตกระเนระนาด แต่พวกเราสงสัยกันบ้างไหมว่า หลังจากที่มีการแก้ข่าวแล้ว ทำไมตลาดหุ้นจึงยังไม่สามารถกลับมายืนได้ แต่ยังคงค่อยๆสาระวันเตี้ยลงๆ ความจริงตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไปมาระยะหนึ่งแล้ว โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่า ปี 2552 นี้ ดัชนีหุ้นควรจะอยู่ในช่วง 600-680 จุด แต่ดัชนีหุ้นไทยก็พุ่งพรวดทีเดียวไปถึง 750 จุด |
|
โดยปกติ การที่ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปได้อย่างมั่นคงนั้น ต้องมีการปรับฐานเป็นระยะๆ เพื่อให้คนที่ซื้อในราคาต่ำๆได้มีโอกาสขายทำกำไรออกมา แต่ถ้าหากมีการปรับขึ้นรวดเดียวสัก 80-100 จุด โดยไม่มีการปรับฐาน หากมีข่าวร้ายเข้ามา ตลาดพร้อมที่จะดิ่งระดับ 50-80 จุดได้ตลอดเวลา
เพราะคนที่มีต้นทุนต่ำเมื่อเห็นว่าเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากล คนเหล่านี้พร้อมที่จะขายได้ทุกราคา เพราะไม่ว่าขายที่ราคาเท่าไรก็ได้กำไร ทำให้ดัชนีหุ้นสามารถทรุดลงได้อย่างรวดเร็ว อย่างที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้
แต่การที่ตลาดหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในห้วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาโดยไม่มีการปรับฐานเลยนั้น เป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติอัดเงินเข้ามาซื้อวันละ 1,000-3,000 ล้านบาททุกวัน เป็นการโยกเงินเข้ามาพักในตลาดหุ้นย่านเอเชีย โดยหวังกำไรจากค่าเงินและราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับสูงขึ้น
ทุกเย็น ตลาดหลักทรัพย์จะมีการประกาศยอดซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อนักลงทุนไทยเห็นว่าต่างชาติยังคงโยกเงินเข้ามาซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ใช้หลัก Let the profit runs จนมาระยะหลังที่เริ่มเห็นว่าแรงซื้อต่างชาติเริ่มแผ่วลง จึงเริ่มลังเล รอจังหวะขาย เมื่อมีข่าวมากระทบ ข่าวนี้จึงเป็นตัวกระตุ้น ( catalyst )ให้มีการขายไปทั่วทั้งกระดาน
ถามว่า วันรุ่งขึ้น เมื่อมีการแก้ข่าวไปแล้วว่า ข่าวนี้ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงข่าวลือ แต่ทำไม สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น กลับมีการเทขายขนานหนัก จนดัชนีหุ้นทรุดลงไปถึง 60 จุด ในระหว่างการซื้อขาย
คำตอบคือ MACD ซึ่งเป็นสัญญานทางเทคนิคที่มีผู้ใช้มากที่สุดตัวหนึ่ง ระบุว่า ตลาดได้เปลี่ยนเป็นขาลงแล้ว ซ้ำร้ายมันได้ส่งสัญญานเตือนล่วงหน้ามาสัก 2-3 สัปดาห์แล้ว
ภาพแสดงดัชนี MACD(กรอบบน) ตัดเส้นค่าเฉลี่ย(สีเขียว)ลงมา พร้อมแสดงสัญญานขัดแย้งกับดัชนีหุ้นในวันที่มีข่าวลวงออกมา
โดยการที่ดัชนีหุ้นได้ไต่ระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ตัวบ่งชี้ ( indicator )คือ MACDกลับไม่สามารถไต่ระดับสูงขึ้น เมื่อเทียบกับระดับเดิมเมื่อเดือนที่แล้วได้ แสดงถึงความขัดแย้งว่าราคาหุ้นปรับสูงขึ้น แต่อารมณ์ความฮึกเหิมของนักลงทุนกลับลดลง ในทางเทคนิคเรียกภาวะนี้ว่า Divergence ซึ่งเป็นสัญญานกลับทิศ แสดงว่า ตลาดขาขึ้นที่ดำเนินมายาวนานนั้นกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาลงแล้ว และพร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ถ้ามีข่าวร้ายเข้ามากระทบ
แน่นอนว่า คนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา ก็คงรู้ว่า หากปล่อยข่าวหนักๆอย่างนี้ออกมา มันคงสามารถพลิกแนวโน้มหุ้นได้ทันที โดยที่ตนเองได้วางแผนเทขายหุ้นออกไปก่อนหน้าแล้ว เพื่อกลับมาช้อนซื้อที่ราคาต่ำกว่า และก็เป็นไปตามคาด MACDหักหัวลงตัดเส้นค่าเฉลี่ยของมัน ส่งสัญญานเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
นักลงทุนกว่าครึ่งในตลาดหุ้นไทย ที่ใช้สัญญานตัวนี้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย พอเห็นเส้น MACD ตัดลง จึงพร้อมใจกันเทขายลดพอร์ตในวันต่อมา จนดัชนีดิ่งไปถึง 60 จุด
อาจมีบางคนแย้งว่า เมื่อปลายเดือนกันยายน เส้น MACD ก็ได้ตัดเส้นค่าเฉลี่ยลงไปแล้วหนหนึ่ง แต่ดัชนีก็ยังสามารถตีกลับสูงขึ้นกว่าเดิมได้ ขอให้สังเกตุว่า วันถัดจากวันที่เส้น MACD ตัดเส้นค่าเฉลี่ยลงมา ดัชนีหุ้นได้ปรับลดทันทีถึง 17 จุด ทั้งที่ไม่มีข่าวเด่นใดๆมากระทบ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเส้นนี้ต่อการตัดสินใจของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
แต่เหตุที่ดัชนีหุ้นสามารถตีกลับขึ้นมาได้ในช่วงนั้น ก็เพราะว่าในมีกระแสเงินต่างชาติไหลเข้ามาแรงมาก วันละ 2,000-3,000 ล้านบาททุกวัน จนทำให้นักลงทุนไทยมั่นใจว่า แรงซื้อขนาดนี้น่าจะพยุงดัชนีได้ จึงหยุดขาย แต่ก็รอจังหวะที่จะขายล้างพอร์ตอยู่ตลอดเวลา และเมื่อแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเริ่มแผ่วลง พร้อมกับมีข่าวลบเข้ามา นักลงทุนไทยจึงถือเป็นโอกาสในการลดพอร์ต
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่พวกเราควรทราบคือ เมื่อตลาดเป็นขาขึ้น ข่าวดีมักจะได้รับการตอบรับมาก ขณะที่ข่าวร้ายไม่ค่อยมีผลต่อตลาดนัก ในทางกลับกัน ในภาวะตลาดขาลง ข่าวร้าย นักลงทุนจะให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษ แต่พอมีข่าวดีมา ตลาดกลับไม่ค่อยตอบสนอง
สำหรับคนที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการลงทุน อาจจะมองว่า สัญญานนี้เป็นเรื่องเฟ้อเจ้อ แต่ผมบอกได้เลยว่า เซียนหุ้นคนดังในเมืองไทยส่วนใหญ่ ใช้เทคนิเคิล ในการจับสัญญานซื้อขาย และอยากให้นึกภาพดูว่า การที่ดัชนีหุ้นรอบนี้ ขึ้นจาก 390 จุด ไต่ขึ้นมาแตะที่ 750 จุด หรือปรับขึ้นมาถึง 92% ในเวลาเพียง 10 เดือนเศษ มันขึ้นมาจนเกินเลยความจริงหรือไม่ หรือท่านคิดว่าตลาดหุ้นสามารถขึ้นได้โดยไม่มีการปรับลงเลยหรือ
อย่าลืมว่า สัญญานต่างๆทางเทคนิค มันก็ได้ข้อมูลมาจากราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขายของนักลงทุน ซึ่งโดยนัยก็คืออารมณ์ที่ผ่านการวิเคราะห์ของนักลงทุนแล้ว ถ้าตอนนี้ความรู้สึกส่วนใหญ่ของนักลงทุนบอกว่า มันไปไม่ไหวแล้ว ถึงอย่างไรมันก็ต้องลง เว้นเสียแต่ว่า จะมีแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอีกวันละ 3,000 ล้านบาท สัก 4-5 วันติดๆกัน นั่นแหละความมั่นใจจึงจะกลับมาอีกครั้ง และสัญญานทางเทคนิคก็จะกลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว สัญญานทางเทคนิคก็ได้มาจากการประมวลความคิดของนักลงทุนที่กลั่นออกมาในรูปของการสั่งซื้อขายนั่นเอง