ในขณะที่ AIG ได้ทยอยขายสินทรัพย์ออกเพื่อใช้หนี้ให้รัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า บริษัทแห่งนี้มีโอกาสรอดน้อยมาก
ส่วนหนึ่งเพราะว่า AIG ได้ทยอยขายธุรกิจที่แข็งแรงและทำเงิน เพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้ราว 1.3 แสนล้านเหรียญ ที่ยืมมาจากรัฐบาลในวงเงินที่อุ้ม 1.82 แสนล้านเหรียญ
AIG ต้องจ่ายออกมากกว่าที่เคยถูกคาดหมายก่อนหน้านี้ จากภาวะเงินที่ตึงตัว จึงทำให้ขายสินทรัพย์ไม่ได้ราคา นักวิเคราะห์เชื่อว่า AIG อาจต้องจ่ายออกมากเกินกว่าที่จะอยู่รอดได้ และดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกมากนัก
แผนถูกกำหนดตั้งแต่วันแรกที่ AIG ไปขอความช่วยเหลือ ให้ต้องขายเพชรเม็ดงามรวมถึงธุรกิจประกันที่แข็งแรงออก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตลาดยอมรับได้ในเวลานั้น นักวิเคราะห์กล่าว มันเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาองค์กรไว้ แต่คำถามคือ มันจะเหลือ AIG ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ในตอนท้ายหรือไม่
AIG กำลังสูญเสียอะไรไป
วันที่ 2 มีนาคม AIGได้โอนธุรกิจรับประกันทรัพย์สินและอุบัติเหตุไปให้กับบริษัทที่แยกออกไปตั้งใหม่ ชื่อ AIU Holding และทำอย่างเดียวกันกับบริษัท AIAและALICO คือแยกออกไปให้เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับ AIG
ในที่สุด รัฐบาลจะกลายเป็นเจ้าของในAIAและALICO ในวันที่ 22 เมษายน AIG จะเริ่มขายหุ้นส่วนน้อยใน AIU ให้นักลงทุน สุดท้าย บริษัททั้งสามจะมีคณะกรรมการบอร์ดของตนเอง หุ้นของบริษัทเหล่านี้จะทำการซื้อขายได้ในตลาดหุ้นโดยแยกอิสระจาก AIG
AIG ยังได้พยายามขายธุรกิจย่อยอื่นออกไป แต่มูลค่าธุรกิจเหล่านั้นน้อยมาก ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดใน 10 ธุรกิจที่บริษัทประกาศว่าจะขายออกไป คือ ธุรกิจรับประกันรถยนต์ ซึ่งบริษัทได้ประกาศว่าจะขายไปที่ราคา 1.9 พันล้านเหรียญ ธุรกิจถัดมากคือ Hartford Steam Boiler ซึ่งจะได้เงินมา 745 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ AIG ยังได้พยายาม คลี่คลายสัญญาที่มีอยู่ในแผนก Financial Product ( FP ) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการล่มสลายของ AIG
ถึงแม้ธุรกิจหลักของบริษัทจะมั่นคงและมีกำไรดี แต่ธุรกิจ FP กลับถูกสร้างขึ้นบนความเสี่ยง โดยการออกสัญญารับประกันอนุพันธ์ที่ซับซ้อน ที่มีโอกาสจะสูญเสียหนัก หากมีการดำดิ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจ FP เริ่มย่ำแย่ในปี 2007 เมื่อตลาดบ้านตกต่ำลง ลูกค้า FP ได้เรียกร้องให้ AIG วางเงินค้ำประกันมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอกับราคาสินทรัพย์ที่(ทำประกันไว้)กำลังลดลง
เหลืออะไรบ้าง
หากปราศจาก AIA , ALICO , AIU , FP และบริษัทย่อยจำนวนหนึ่ง สิ่งที่เหลืออยู่ในบริษัทแม่ คือ บริษัทประกันชีวิตและบำนาญในสหรัฐกับบริษัทย่อยอีกจำนวนหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนี้ AIG จะยังคงถือหุ้นอยู่ใน 3 บริษัทใหญ่ที่กำลังจะแยกตัวออกไป และจะต้องปล่อยให้ 3 บริษัทนี้หลุดมือไปในที่สุด แต่โฆษกของ AIG บอกว่า บริษัทจะพยายามยื้อหุ้นในส่วนนี้ไว้ให้นานที่สุด เพื่อที่จะคงอันดับเครดิตของบริษัทไว้ เพราะหากแยกธุรกิจเหล่านี้ออกไปในทันที จะกระทบถึงรายได้ที่เคยได้รับจากบริษัทเหล่านี้ และส่งผลต่ออันดับเครดิตในที่สุด
โฆษกหญิงของ AIG ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงสถานะของบริษัทหลังปรับโครงสร้างเสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่บอกว่า ชื่อ AIG น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ( AIG brand will likely be replaced )
แผนเบ็ดเสร็จตอนนี้คือ ขายบริษัทที่ดีออกไปเพื่อใช้หนี้รัฐบาล เธอกล่าว นั่นคือสิ่งที่เรากำลังมุ่งเน้นอยู่
มีโอกาสน้อยที่จะอยู่รอด
บริษัทประกันภัยที่ AIG จะขายออก เป็นธุรกิจที่ทำเงิน ซึ่งตรงกันข้ามกับธุรกิจที่ AIG เหลืออยู่หลังปรับโครงสร้างเสร็จ
เฉพาะธุรกิจที่ AIG จะโอนไป AIU เพียงแห่งเดียว ผลิตเบี้ยประกันได้ถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2008 และบันทึกรายได้ 4.4 หมื่นล้านเหรียญในปีที่แล้ว ALICOและAIA ผลิตเบี้ยประกันรวมได้ถึง 3 หมื่นล้านเหรียญในปี 2008
แต่สำหรับบริษัทประกันชีวิตและธุรกิจบำนาญในสหรัฐ ที่ยังคงเหลืออยู่หลังปรับโครงสร้าง สามารถสร้างเบี้ยประกันภัยได้เพียง 7 พันล้านเหรียญ และมีรายได้เพียง 1.5 หมื่นล้านเหรียญในปีที่แล้ว คิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ และ 1 ใน 10 ของเบี้ยประกัน เมื่อเทียบกับบริษัทที่ AIG ต้องปล่อยให้หลุดมือไป
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การลดขนาดลงของ AIG จะพบกับปัญหากดดันมากมาย รวมถึงต้นทุนด้านเครดิต เพราะเมื่อรายได้รวมของบริษัทลดลง อันดับเครดิตจะลดต่ำตาม ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินสูงขึ้น
AIG ยังได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้าและพนักงานตบเท้ากันเดินหนี แน่นอนว่าลูกค้ามักมุ่งหาบริษัทรับประกันที่มั่นคงกว่าและอยู่ในอันดับต้นๆเพื่อข้อเสนอที่ดีกว่า
เมื่อ AIG ขายธุรกิจออกไป เหลือไว้แต่ลูกค้า พนักงาน และธุรกิจที่ด้อยคุณภาพ นักวิเคราะห์กล่าว ถ้าคุณจะถามผมว่า AIG จะอยู่รอดมั้ย ผมจำเป็นต้องบอกว่า ไม่
แหล่งข้อมูล CNNMoney.com http://money.cnn.com/2009/04/28/news/companies/aig_restructuring/index.htm?postversion=2009042817