ReadyPlanet.com
dot dot
dot
วางแผนการเงิน
dot
bulletทำไมต้องวางแผนการเงิน
dot
วางแผนเกษียณอายุ
dot
bulletวางแผนเกษียณอย่างง่าย
dot
วางแผนภาษีอากร
dot
bulletทำไมต้องวางแผนภาษี
bulletเทคนิควางแผนภาษีส่วนบุคคล
bulletเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี
bulletค่าใช้จ่ายของแต่ละอาชีพ
bulletสิทธิหักลดหย่อนภาษี
bulletวิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา
dot
วางแผนการลงทุน
dot
bulletข้อคิดก่อนลงทุน
bulletการจัดพอร์ตลงทุน
dot
วางแผนการประกัน
dot
bulletหลักพื้นฐานการประกันภัย
bulletประกันชีวิตเท่าไรถึงพอ
dot
Newsletter

dot




วิกฤตการเงินระลอกสอง article

         ช่วงนี้มีนักวิชาการหลายท่านออกมาเตือนเรื่อง  วิกฤตการเงินระลอกสองในสหรัฐอเมริกา  ประกอบกับมีสัญญานชี้นำทางเศรษฐกิจหลายตัวที่บ่งชี้ไปในทิศทางนั้น  ไม่ว่าราคาทองคำ ,อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ  และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐ 
         หรือว่า  เรื่องนี้จะเป็นความจริง

         มันเป็นเรื่องที่ขัดความรู้สึกอยู่เหมือนกันที่ใครๆพากันพูดว่า   วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ  1930 เมื่อ 70 ปีที่แล้ว  แต่แล้วนักเศรษฐศาสตร์เองกลับมาคาดการณ์ว่า  เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นในปลายปีนี้  หรืออย่างช้ากลางปีหน้า
         พวกเราคงจำกันได้ว่า  ประเทศไทยเราประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปีพ.ศ.2540  กว่าจะเริ่มฟื้นตัวก็ปลายปี  2545  เราใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะเริ่มฟื้นตัว  ขณะที่วิกฤตที่เกิดขึ้นในสหรัฐมีขนาดใหญ่กว่า  กระทบวงกว้างกว่า  จะฟื้นง่ายๆภายใน 1-2 ปีเชียวหรือ

         ประเทศสหรัฐอเมริกา  ควรใช้เวลาไม่น้อยกว่า  5 ปีในการฟื้นตัว  และผมเชื่อว่าจุดเลวร้ายสุดของวิกฤตยังมาไม่ถึง
         ปัญหาที่เริ่มจากสถาบันการเงินล้มเป็นลูกโซ่  แล้วลามไปภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง  อย่างบริษัทผู้ผลิตรถยนต์  สายการบินและร้านค้าปลีก  บริษัทต่างๆเริ่มลดเงินเดือนพนักงาน  ปลดคนงานออก  ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดต่ำสุดในรอบหลายสิบปี 
         ผู้คนชะลอการใช้จ่าย  ราคาน้ำมันดิบลดจาก  140 เหรียญเหลือเพียง  40 เหรียญต่อบาร์เรล   อัตราการว่างงานเพิ่มจากปกติที่ 2%  มาเป็น 7.6%  ในเดือนมกราคม  แต่ยังนับว่าห่างไกลมากเมื่อเทียบกับการว่างงานเมื่อตอนเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่  20% 
         ถ้าเราเชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก  เราก็ต้องเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่จบลงง่ายๆและจุดต่ำสุดยังมาไม่ถึง

         นางเจนเนต    เยลเลน  ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก  กล่าวเมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า  สหรัฐจะไม่ประสบปัญหาดิ่งลึกเท่าช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่  แต่หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายคลึงกัน  เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงกลางของการดำดิ่ง  ดังนั้นการตอบสนองที่ที่เร่งด่วนและรุนแรงจึงจำเป็น   เพื่อหยุดยั้งการถดถอยที่จะลึกไปเรื่อยๆ
         นางเจนเนต  เยลเลน  พูดในวันเดียวกับที่รัฐบาลสหรัฐออกมาประกาศว่า  ตอนนี้  การว่างงานกำลังพุ่งสูงสุดในรอบ  34 ปี  นางยังทิ้งท้ายว่า  “โชคร้ายที่ตอนนี้ ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด”
         นั่นคือเหตุผลว่าทำไม  ในช่วง  2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา  ราคาทองคำและอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐเริ่มกลับสูงขึ้นอีกครั้ง

         ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเมื่อสัก 2-3 ปีก่อน  เราเห็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนทยอยขายเงินดอลลาร์ไปซื้อทองคำเพื่อเป็นแหล่งพักเงิน   เมื่อวิกฤตปะทุ  นักลงทุนเหล่านี้ได้เทขายทองคำในราคาสูงแล้วกลับมาซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกกลับคืน  ทำให้ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นไปถึง 1,000 เหรียญต่อออนซ์ลดลงมาเหลือ 720 เหรียญต่อออนซ์
         แต่มาถึงวันนี้  พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า  เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน  มันอาจจะทรุดฮวบไปอีกครั้ง  ค่าเงินดอลลาร์จะดิ่งตามลงไป  พวกเขาจึงทยอยขายเงินดอลลาร์แล้วกลับไปซื้อทองคำเพื่อพักเงินไว้อีก  ราคาทองคำจึงทยอยขึ้น  มาอยู่แถวๆ 900 เหรียญต่อออนซ์อีกครั้ง

         อัตราดอกเบี้ยก็เช่นกัน   ช่วงที่เกิดวิกฤตใหม่ๆอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐต่างพุ่งพรวด  นั กลงทุนถอนเงินลงทุนเมื่อความปลอดภัย  ทำให้สถาบันการเงินทุกแห่งขาดสภาพคล่องและหยุดปล่อยสินเชื่อ  เพื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นได้  เฟดอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างเต็มที่  ทำให้สภาพคล่องเริ่มผ่อนคลาย  อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร  10 ปีที่ใช้เป็นอัตราอ้างอิงของดอกเบี้ยระยะยาว  ลดจากก่อนวิกฤตที่  4.2%  ลงมาแตะระดับ  2.04%เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา
         แต่ในช่วง  2-3  สัปดาห์นี้  อัตราผลตอบแทนพันธบัตร  10 ปีของสหรัฐเริ่มขยับขึ้นมาใกล้  3%อีกครั้ง  แสดงว่าปัญหาในสถาบันการเงินสหรัฐยังไม่จบ  

         ตราบใดที่เรายังไม่สามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่มีปัญหาในสถาบันการเงินได้  มันคงยากที่จะดึงดูดนักลงทุนรายใหม่เข้ามา  และการปล่อยสินเชื่อใหม่ก็ยากจะเกิดขึ้น
         จริงอยู่ว่าวิกฤตครั้งนี้คงไม่เลวร้ายเท่าสมัยเมื่อ  70 ปีที่แล้ว  เพราะเราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากอดีตได้  อีกทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ  เทคโนโลยีในปัจจุบันก็มีมากกว่าอดีต  ทำให้แผนต่างๆที่ปล่อยออกมาบรรลุผลได้เร็วขึ้น

         แต่ผมคิดว่า  รัฐบาลสหรัฐและคนอเมริกันยังประเมินสถานการณ์ต่ำไป
         รัฐบาลสหรัฐใช้เม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง  8.25  แสนล้านเหรียญหรือ  6.00%ของ GDP   เปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น  จีน  และอังกฤษที่ใช้เงินถึง  12.30% , 17.90%  และ  20.00%ของ GDP ตามลำดับ
         คนอเมริกันก่อนเกิดวิกฤตเชื่อว่า  รัฐบาลของตนจะจัดการปัญหาเศรษฐกิจได้  และเมื่อเกิดวิกฤตแล้ว  คนอเมริกันก็ยังเชื่อไม่เลิกว่า  เศรษฐกิจของตนจะฟื้นใน  1-2 ปี 
        ทุกแห่งที่เกิดวิกฤตล้วนมาจากการที่คนในสังคมนั้นๆย่ามใจ  ทุ่มลงทุนโดยไม่มีการเตรียมแผนรองรับในกรณีผิดพลาด  เวลาเกิดปัญหาจึงเจ็บหนัก

         แต่เมื่อมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  เปรียบเทียบกับช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสมัยทศวรรษ 1930 แล้ว    ผมเห็นว่ายังห่างไกลกันนัก  ผมจึงเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นยังเผยตัวออกมาไม่หมด
 ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่  สถาบันการเงินปิดตัวเป็น 1,000 แห่ง  ดัชนีหุ้นลดลงเกือบ  90%  คนว่างงานกว่า 20%  แต่ปัจจุบันสถาบันการเงินปิดไปเพียง  50 แห่ง  ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเพียง  40%  และคนว่างงานแค่  7.60%
         ขณะที่ดัชนีที่ใช้วัดภาวะเศรษฐกิจของประเทศ  ที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดคือ  ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือGDP   ในสมัยเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่  GDPสหรัฐลดลงไปกว่า  20%  แต่GDPไตรมาสล่าสุดของสหรัฐลดลงเพียง  3.80%  มันจึงน่าจะมีแรงส่งไปได้มากกว่านี้

         อะไรจะเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจตกต่ำลงไปได้อีก  ทั้งที่ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐก็ดูเหมือนนิ่ง ดีแล้ว
         คำตอบคือ  ภาคการเงินที่นับเป็นเส้นเลือดใหญ่  แต่ยังมีปัญหาซุกซ่อนอยู่มาก 
         ปัญหาในสถาบันการเงินจะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง  เนื่องจาก  ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนที่แต่ละสถาบันถืออยู่นั้น  มันยากที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้  อีกทั้งเจ้าของสถาบันการเงินก็มักจะไม่ยอมเปิดเผยสถานะที่แท้จริงให้ทราบ
         เพราะถ้าขืนไปบอกรัฐบาลหมดว่า  ข้างในเสียหายอย่างไร มากเท่าไร  หากรัฐบาลเห็นว่าเยียวยาได้ยาก  เขาอาจบังคับให้ปิดกิจการ  และขายทอดตลาดไปก็ได้  แต่ถ้ารู้จักเผยความเสียหายทีละเล็กทีละน้อย  แล้วค่อยๆตอดเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไปเรื่อยๆ  ยังมีโอกาสซื้อเวลา  ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดได้อยู่

         รากเง่าของปัญหาคือ  สินทรัพย์ของสถาบันการเงินมักจะผูกติดกับราคาอสังหาริมทรัพย์  สองปีที่ผ่านมาราคาบ้านได้ลดลงไปแล้ว  28%  หากราคาสินทรัพย์ที่สถาบันการเงินถืออยู่เกิดราคาตกลงไปอีก  7-8%  มันจะไปล้างส่วนทุนของสถาบันการเงินจนหมด  โดยล่าสุด  ราคาบ้านในสหรัฐยังคงลดลงต่อเนื่อง
         เราไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขั้นนั้นหรือไม่  แต่แนวโน้มมีอยู่สูงมาก  สังเกตได้จากตอนนี้ที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่  ทั้งที่รัฐบาลเพิ่งให้เงินช่วยเหลือ  แบงค์ออฟอเมริกา , ซิตี้กรุ๊ป  และเอไอจีไปหมาดๆ  แสดงว่าเนื้อในยังมีปัญหาอีกมาก

         เวลานี้รัฐบาลสหรัฐให้เงินช่วยเหลือธนาคารต่างๆในรูปของการเพิ่มทุนไปแล้วกว่า  350,000  ล้านเหรียญ   แต่นักวิเคราะห์บอกว่าเฉพาะ  8 ธนาคารใหญ่ของสหรัฐต้องการเงินอีก  1.2  ล้านล้านเหรียญเพื่อให้อยู่รอด
         ถึงตอนนั้น  รัฐบาลสหรัฐจะอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ถ้าไม่ช่วย  ก็จะเกิดเหตุการณ์ล้มเป็นโดมิโน  ถ้าเข้าช่วย  เงินกู้ที่ส่งไปอาจจะกลายเป็น  NPL  ชนิดถมท่าไรไม่เต็มสักที  ทำให้ธนาคารกลางและเงินดอลลาร์สูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก  ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยิ่งสั่นคลอน  มีผลกระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงที่แย่อยู่แล้วให้กลับยิ่งแย่หนักยิ่งขึ้น  ทำให้  GDP ติดลบมากขึ้นไปอีก
         อย่าลืมว่า  วิกฤตรอบนี้กว่าจะรู้ตัวว่า  เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว  เราต้องใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม  สมัยเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เมื่อ 70 ปีที่แล้ว  สหรัฐใช้เวลาเกือบ 4 ปี  ถึงจะได้ข้อสรุปว่าเศรษฐกิจแย่ถึงขั้นตกต่ำ ( Depression ) แล้ว

         ตอนนี้เหตุการณ์เพิ่งผ่านมา 15 เดือนแล้ว ( นับจากเดือนที่สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NBER) แถลงยืนยันว่า  เศรษฐกิจสหรัฐก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว  คือเดือนธันวาคม ปีพ.ศ.2550 )   แต่การจะยืนยันว่าวิกฤตเศรษฐกิจหนนี้จะรุนแรงถึงขั้นตกต่ำหรือไม่  เรายังต้องรอคำยืนยันจาก NBER อีกครั้ง

วัฏจักรเศรษฐกิจจากช่วงรุ่งเรืองสู่ช่วงตกต่ำ

         คำถามที่คนมักจะถามกันมากที่สุด คือ  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำถึงขั้นต่ำสุดแล้ว 
         เราคงต้องใช้ความรู้เรื่องวัฎจักรเศรษฐกิจ  และความรู้ทางเทคนิคของดัชนีหุ้นมาคาดการณ์  ตามปกติ  ช่วงปลายวัฏจักรของเศรษฐกิจขาลง  การค้าการลงทุนจะเงียบเหงา  คนจำนวนมากว่างงาน  ดอกเบี้ยถูก  เงินเฟ้อต่ำ  การซื้อขายหุ้นจะเบาบาง  และดัชนีหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก  เพราะทุกคนต่างสิ้นหวัง  และเข็ดหลาบกับการลงทุน

         ตอนนี้ข้อมูลหลายตัวเริ่มปรากฎออกมาให้เห็นแล้ว  แต่มันยังไม่สุกงอม  เนื่องจากยังมีการเก็งกำไรในหุ้นสหรัฐและราคาน้ำมันแทบทุกวัน   ดัชนีดาวโจนส์หุ้นขึ้นลงวันละ  100-300  จุดเป็นว่าเล่น  ส่วนราคาน้ำมันก็ผันผวนขึ้นลงวันละ  1-4  ดอลลาร์ได้แทบทุกวัน 
         การที่เศรษฐกิจจะนิ่ง  ต้องผ่านขั้นตอนที่คนส่วนใหญ่สิ้นหวัง  เลิกเล่นหุ้น  หันหลังให้ตลาดหุ้น  จนราคาหุ้น ราคาน้ำมันไม่ขยับ  ปริมาณการซื้อขายต้องลดมาจนน่าตกใจ  เมื่อนั้นนักลงทุนระยะยาวจึงกลับมา  ดัชนีหุ้นจะค่อยๆไต่ขึ้นช้าๆ  ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคค่อยๆฟื้นตัว  การค้าการลงทุนค่อยๆขยับ  เศรษฐกิจจึงจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

         เราคนไทยเคยผ่านเหตุการณ์นี้ทำนองนี้มาแล้วมิใช่หรือ 
         เราเคยเชื่อว่ารัฐบาลพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ  จะป้องกันเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไว้ได้  ต่อมาเมื่อมีการลดค่าเงินบาท  เราก็เชื่อว่า   ค่าเงินบาทคงจะลงไปเพียงเล็กน้อย   หลังจากนั้นเราก็เชื่อว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์  จะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ในเวลาอันสั้น 
         แต่ทุกอย่างที่เราเชื่อ  ผิดหมด  เหมือนกับที่คนอเมริกันเชื่ออยู่ตอนนี้  เพียงแต่เวลาต่างกัน  10 ปี เท่านั้นเอง

 




บทความน่าสน

Domain names for sale article
ขุมทรัพย์ในกรมธรรม์
ทองคำ ฤาจะหมดมนต์ขลัง
Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์
กรมธรรม์บำนาญ เรื่องใกล้ตัวที่คุณควรรู้ article
ฝรั่งทิ้งหุ้นกว่า 5 หมื่นล้าน ทำไมหุ้นไทยถึงไม่ลง(มาก) article
ทำไม ทองยังคงทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ article
ทำไม หุ้นจึงพุ่ง สวนทางม็อบ article
เฟดขึ้นดอกเบี้ย มั่นใจพ้นจุดต่ำสุด article
5 ศตวรรษของฟองสบู่โลก
บริจาคอย่างไร หักภาษีได้ 2 เท่า
ทำไม ราคาทองคำจึงพุ่งไม่หยุด
MACD สาเหตุที่แท้จริงในตลาดหุ้น
เงินรองรัง เท่าไรถึงพอ
นักลงทุนทิ้งเงินดอลลาร์ มุ่งลงทุนสินทรัพย์อื่น
เงินที่หล่นหาย
สมาคมตัวแทนเตรียมจัดงานสัมมนาระดับโลก
5 คำแนะนำในการซื้อบ้านที่ถูกยึด
พันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ พุ่งแตะ 3.71%
AIG ถึงคราวต้องล้ม ?
เงินสิบบาท
ช่วยด้วย ฉันซื้อประกันไว้กับ AIG
ช่วยใช้เงินหน่อย
เตือนรัฐรับวิกฤติผู้สูงอายุ
ข่าวดีและข่าวร้ายจากเฟด
CDS ดินระเบิดวิกฤติปี 2008 article
สัญญาเพิ่มเติมในประกันชีวิต หักภาษีไม่ได้แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฟองสบู่อเมริกาแตก
มาวางแผนเกษียณอายุกันเถอะ article
วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน article
หลักทรัพย์ที่ควรร้จัก
สปส.ปรับเพิ่มเงินบำนาญชราภาพ article
AIG มาถึงวันนี้ได้อย่างไร



Copyright © 2010 All Rights Reserved.