ReadyPlanet.com
dot dot
dot
วางแผนการเงิน
dot
bulletทำไมต้องวางแผนการเงิน
dot
วางแผนเกษียณอายุ
dot
bulletวางแผนเกษียณอย่างง่าย
dot
วางแผนภาษีอากร
dot
bulletทำไมต้องวางแผนภาษี
bulletเทคนิควางแผนภาษีส่วนบุคคล
bulletเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี
bulletค่าใช้จ่ายของแต่ละอาชีพ
bulletสิทธิหักลดหย่อนภาษี
bulletวิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา
dot
วางแผนการลงทุน
dot
bulletข้อคิดก่อนลงทุน
bulletการจัดพอร์ตลงทุน
dot
วางแผนการประกัน
dot
bulletหลักพื้นฐานการประกันภัย
bulletประกันชีวิตเท่าไรถึงพอ
dot
Newsletter

dot




ประกันชีวิตเท่าไรถึงพอ

            คนทั่วไปมักเข้าใจว่า  การประกันชีวิตเป็นการประกันความคงอยู่ของชีวิต  คือ  หากสิ้นลมหายใจ  ก็จะได้รับสินไหมทดแทน  แต่ในทางวิชาการ  การประกันชีวิตเป็นการประกันคุณค่าทางเศรษฐกิจของบุคคล  โดยดูที่ความสามารถในการสร้างรายได้ว่า  ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป  จะสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวหรือองค์กรได้อีกเท่าไร  แล้วจึงนำมูลค่าตรงนั้นมากำหนดเป็นวงเงินคุ้มครอง
         อย่างไรก็ตามนั่นเป็นการมองในแง่อุดมคติ  ยังมีการมองในแง่มุมอื่นเช่นว่า  ถ้าเขาจากไป  ทำอย่างไรให้ครอบครัวของเขาเดือดร้อนน้อยที่สุด  โดยนำทุนประกันชีวิตที่ได้ไปชดเชยหรือรองรับภาระที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

         ประกันชีวิตเท่าไรถึงพอ
         ปัจจุบันมีแนวคิดในการคำนวณทุนประกันที่เหมาะสมอยู่  2  แนวทาง  คือ  ตามศักยภาพของบุคคล  หรือตามภาระที่บุคคลพึงรับผิดชอบ  โดยรายละเอียดในแนวคิดเหล่านั้นเป็นดังนี้

         1. คำนวณตามศักยภาพ ( Potential  Base )
         ถึงแม้มูลค่าที่แท้จริงของบุคคล  คือ  จำนวนรายได้ทั้งหมดที่คาดว่าเขาจะทำขึ้นมาได้ในช่วงชีวิตที่เหลือ  หรือจนกว่าจะเกษียณอายุ  แต่วงเงินที่คำนวณได้มักจะสูงเกินกว่าที่เราจะจ่ายเพื่อทำประกันได้  โดยเฉพาะคนที่เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ
         ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง  จึงมีการกำหนดว่า  บุคคลควรมีวงเงินประกันเท่ากับ  5  เท่าของรายได้ต่อปี  เช่น  นาย ก.  มีเงินเดือนๆละ  50,000  บาทและได้รับโบนัสตอนสิ้นปีอีก  2  เดือน  รวมทั้งปีมีรายได้เท่ากับ  700,000  บาท  ดังนั้น  ทุนประกันที่เหมาะสมจะเท่ากับ  700,000X 5  =  3.5  ล้าน
         สำหรับเหตุผลที่กำหนดให้มีวงเงินประกันเป็น  5 เท่าของรายได้ต่อปีนั้น  เพราะว่าเวลา 5 ปี  เป็นช่วงเวลาที่พอสมควร  ที่คนในครอบครัวจะได้ปรับตัว  แม่บ้านที่หยุดทำงานมานาน  หากต้องออกมาทำงานใหม่  ก็พอมีเวลาหางานและฝึกทักษะการทำงานอีกครั้ง  หรือจะขยับขยาย หาธุรกิจใหม่มาทำ  เพื่อทำหน้าที่หารายได้แทนสามีต่อไป
         บางตำราบอกว่า  ควรให้เวลาครอบครัวปรับตัวถึง 7 ปี  แต่รายได้ที่นำมาคำนวณนั้นควรจะคิดเพียง 70% ของรายได้ต่อปี  เพราะในช่วงที่ผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่นั้น  รายได้ส่วนหนึ่งต้องนำไปจ่ายภาษีและค่าใช้จ่ายส่วนตัว  เหลือเงินรายได้ให้ครอบครัวเพียง 70%
         ดังนั้นเมื่อเขาไม่อยู่  ก็ให้ใช้ตัวเลขเพียง 70%ของรายได้ในการคำนวณ   แต่เมื่อคำนวณออกมาเป็นวงเงินประกันจะได้เท่ากับ  70%X 7  = 490%  ของรายได้ต่อปี  ซึ่งจะใกล้เคียงกับ  5 เท่าของรายได้ต่อปีนั่นเอง

         2. คำนวนตามภาระค่าใช้จ่าย ( Need  Base )
         วิธีนี้  ดูตามความจำเป็นของครอบครัว  ว่าหากสูญเสียเราไปครอบครัวยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง  เพราะถ้าเป็นไปได้เราคงอยากรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้เอง
         ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้แก่  ค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว , หนี้สินที่คงค้างอยู่ , ค่าเล่าเรียนของลูกๆ , ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่  รวมถึงค่าใช้จ่ายครั้งสุดท้ายซึ่งได้แก่ค่าฌาปนกิจ
         อย่างไรก็ตาม  พวกเราแต่ละคนย่อมมีการเตรียมการ   หรือมีสมบัติบางส่วนที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเงินเพื่อไปรับภาระเหล่านี้บ้าง
         ดังนั้น  วงเงินประกันที่ต้องการจะเท่ากับ   จำนวนเงินที่ยังขาดหลังจากการนำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปหักจากภาระค่าใช้จ่าย

         ทุนประกัน  =  ภาระ – สินทรัพย์ที่มีอยู่

         ภาระได้แก่
         1. ค่าใช้จ่ายของครอบครัว  คูณด้วยจำนวนปีที่เราอยากให้เขาอยู่ได้  เสมือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่
         2 .หนี้สินที่คงค้างทั้งหมดไม่ว่า  ค่าจำนองบ้าน , หนี้รถยนต์  หรือหนี้บัตรเครดิต
         3. ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่  ตามจำนวนปีที่คาดว่าท่านยังมีชีวิตอยู่
         4. ค่าเล่าเรียนของลูกทุกคนจนกว่าเขาจะเรียนจบ
         5. ค่าใช้จ่ายในวาระสุดท้ายของเราได้แก่  งานฌาปนกิจ เป็นต้น

         ขณะที่ทรัพย์สินที่บางท่านอาจมีเตรียมไว้แล้ว เช่น
         1. ทุนประกันที่เรามีอยู่แล้วในปัจจุบัน
         2. สินทรัพย์สภาพคล่องที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้หลังเราเสียชีวิต
         3. กองทุนต่างๆหรือเงินทดแทนที่บริษัทของเราจ่ายให้เมื่อเสียชีวิต

         หากสรุปเป็นสมการใหม่  จะได้ดังนี้

         วงเงินประกันชีวิตที่ต้องทำเพิ่ม = รายจ่ายของครอบครัว + หนี้สิน + ทุนการศึกษาลูก + ค่าทำศพ - วงเงินประกันชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน - สินทรัพย์สภาพคล่องสูง - เงินกองทุนจากบริษัทนายจ้าง

         ในกรณีที่เรามีทุนประกัน  หรือสินทรัพย์รวมกันมากกว่าภาระที่จะเกิดขึ้น  ก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันเพิ่ม  เว้นแต่ว่าเรายังต้องการให้ทายาทของเรามีทุนรอนเหลือเฟือ  เพื่อเขาจะอยู่ได้อย่างสบาย  และสามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปสู่ชั้นลูกชั้นหลานต่อไป







Copyright © 2010 All Rights Reserved.